เกาะกระแสวงการ "ขอความร่วมมือจากทางรัฐบาลช่วยส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวไก่ชน"

เกาะกระแสวงการ

ดำเนินเรื่องโดย บก.แจ็ค


    ขอความร่วมมือจากทางรัฐบาลช่วยส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวไก่ชนให้มีรายได้แบบยั่งยืนเพื่อยกระดับไก่ชนให้เป็น soft power ของประเทศไทย
     ในวันที่ 10 ที่ผ่านมาผมได้รับการติดต่อจากตัวแทนของพรรคกล้าธรรม พรรคการเมืองที่คาดจะร่วมตั้งรัฐบาลในสมัยหน้า และผมมีความมั่นใจว่าท่านผู้ใหญ่ของพรรคได้เล็งเห็นความสำคัญของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงไก่ชน จึงได้แจ้งให้กับทางตัวแทนของพรรคติดต่อมา ในเมื่อเข้าไปถึงพรรคกล้าธรรม บรรยากาศที่ได้สัมผัสคือการต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นกันเองจากไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารของพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นสส.ของ 2 จังหวัด ผมได้เข้าร่วมประชุมใน 3
     หัวข้อหลักที่ทางพรรคเลือกขึ้นมาหาข้อสรุปในวันนี้ หัวข้อแรกเป็นการประชุมเรื่องของการเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรยางพาราทั่วประเทศเพื่อเพิ่มคุณภาพและทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นเพื่อพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ำเป็นระยะเวลายาวนาน
     หัวข้อที่ 2 คือเรื่องการสำรวจซ่อมแซมและสร้างถนนที่เป็นสายหลักและเป็นถนนชนบททั่วประเทศ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่เลยทีเดียวเพราะมีระดับรัฐมนตรีเข้ามานั่งด้วย เท่าที่ผมฟังอยู่ก็คือการเพิ่มงบประมาณ ที่เหลือก็เป็นศัพท์ทางการเป็นศัพท์เฉพาะซึ่งผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง
   และหัวข้อสุดท้าย คือการผลักดันให้ไก่ชนเป็นสินค้าทางการเกษตร และคนที่ติดต่อเข้ามาเขาบอกผมว่าให้ไปคุยเรื่องไก่ชน แต่เขาไม่ได้แจ้งว่าผมจะต้องเข้าไปพูดในที่ประชุมต่อหน้าประธานยุทธศาสตร์ของพรรคกล้าทำคือ ท่านอนุดิต นาครทรรพ อีกทั้งยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลย การสนทนาเป็นคำถามจากประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ว่าในเรื่องของไก่ชนมีอะไรให้ว่ามาเลย  แล้วจะไปว่าอะไรล่ะครับ ทีแรกนึกว่าเขาให้มานั่งฟัง ท่านถามมาอีกว่าเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงไก่ชนมีประมาณกี่ครัวเรือนทั้งประเทศ คำถามฟังแล้วจะเป็นลม เคยจำได้คร่าวๆว่าเมื่อปี 64 ได้มีการสำรวจจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็มีจำนวนประชากรอยู่  2.4ล้านคน ซึ่งแบ่งออกเป็นทางภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ นั่นแค่ผลสำรวจปี 64 นะครับ ที่สำคัญ 4 ปีที่ผ่านมาหลังจากโควิดวงการไก่ชนได้เติบโตขึ้นอีกหลายเท่าตัว จึงอธิบายเรื่องของมูลค่าของไก่ชนแต่ละตัว ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ก็คือมูลค่าทางด้านสายพันธุ์ และมูลค่าทางด้านฝีมือหรือความเก่งโดยการทดสอบในสนามประลอง ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าไม่มีสนามซ้อมที่ถูกต้องตามกฎหมายในแต่ละชุมชน มูลค่าของไก่ชนก็ไม่สามารถเพิ่มได้ ก็จะแค่ไก่เนื้อกิโลกรัมละ 100 กว่าบาท ท่าทางภาครัฐเข้ามาสนับสนุน จากไก่น้ำหนัก 3 กิโลกรัมซึ่งเป็นไก่เนื้อตัวละประมาณ 300 กว่าบาท อาจจะกลายเป็นเจ้าฟ้าคำราม ยอดไก่ที่ชนะเงินเดิมพันสูงถึง 125 ล้านบาท และมีค่าตัวอยู่ที่ 6,500,000 บาทก็เป็นได้  มีคำพูดของวงการไก่ชนได้กล่าวเอาไว้ว่า "ไก่เก่งไม่เลือกที่เกิด แต่จะกำเนิดจากสายพันธุ์ที่ดี'
   นั่นหมายความว่าเกษตรกรต่างจังหวัดชาวบ้านที่อยู่ตามหัวไร่ปลายนาถ้ามีสายพันธุ์ที่ดีในการสนับสนุนของภาครัฐ จากไก่เนื้อตัวละ 3-400 บาทก็อาจจะเป็นไก่ 1 ตัวที่สามารถพลิกชีวิตคนๆหนึ่งได้เลย และอย่ามองว่าไก่ชนจะต้องมุ่งไปทางเรื่องของการพนันและทรมานสัตว์ เพราะสัญชาตญาณการหวงถิ่นของไก่เพศผู้มันมีอยู่ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ที่เรามีสนามประลอง ก็เพราะอยากจะเพิ่มมูลค่าโดยการทดสอบความเก่ง ถ้าไม่มีสนามแข่งขันก็ไม่เกิดมูลค่าในตัวมันเองอย่างแน่นอน สนามประลองไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องของการพนันแต่เพียงเพื่อในจุดนี้คือการบ่งบอกเรื่องของการพัฒนาสายพันธุ์ ไก่ 1 ตัวที่เป็นแชมป์เงินเดิมพันสูงๆ สายเลือดของเขาไม่ว่าจะเป็นรุ่นปูรุ่นพ่อ รุ่นลูก ครอกพี่ ครอกน้องจะมีมูลค่าสูงขึ้นจากปกติอีกหลายเท่าตัว คนภายนอกอาจจะมองว่าวงการไก่ชนคือกีฬาของชาวบ้าน แต่รู้หรือเปล่าครับว่าไก่ชนในยุคนี้เดิมพันสูงสุด 125 ล้านบาท เราอยู่ในยุคที่พ่อพันธุ์ไก่ชน 1 ตัวราคา 5.5 ล้านบาท และไก่ตัวผู้อายุ 8 เดือน ราคา 1 ล้านบาท ตัวเมียอายุ 12 เดือนราคา 1 ล้านบาทต่อตัวเช่นกัน อีกทั้งไข่ซึ่งปกติใบละไม่เกิน 5 บาท แต่ถ้าเป็นไข่ไก่ชนสายเลือดดี ราคาสูงสุดตอนนี้ใบละ 5 แสนบาท ที่กล่าวมาในเบื้องต้นเป็นราคาที่มีทั้งคนซื้อและคนขายจริง 
      หลังจากฟังเรื่องราวที่ผมเล่าไปทั้งหมดนี้อยากจะรู้ ฟีดเเบคไหมครับว่าทางผู้ใหญ่ของพรรคเขาจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับวงการไก่ชน ถ้าอยากจะรู้ติดตามคอลัมน์หน้าแล้วกันครับฝากติดตามตอนต่อไปด้วยครับ